Skip to main content

ROI คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร?

  • SGEPRINT

    ROI คืออะไร สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร?

    สำหรับวงการธุรกิจแล้ว ทุกการลงทุนจะต้องมีต้นทุน และแน่นอนว่าการวัดค่าหรือการประเมินผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนั้นเป็นสิ่งสำคัญว่าสิ่งที่เราลงทุนไปนั้น คุ้มค่าหรือไม่ (การวัดผลตอบแทนนั้นก็คือ ROI นั่นเอง) ส่วนประเภทของการลงทุนในทางธุรกิจที่สามารถวัดค่าROI ได้นั้น คือการลงทุนทุกประเภทที่ต้องใช้เงินทุน ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดต่างๆ การทำโฆษณา การทำ AdWords การจ้างทีมออแกไนซ์ การสร้างแคมเปญต่างๆ หรือ การออกบูท 

    Return on Investment (หรือROI) คือตัวเลขที่แสดงถึงผลตอบแทนของการลงทุน นิยมใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนการตลาด ถ้าหากROI สูงเท่ากับว่ากำไรเยอะถ้าเทียบกับทุนที่ลงไป ใช้ในการเปรียบเทียบการลงทุนต่างๆ เพื่อเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดได้

    ยกตัวอย่างเช่นROI = 0.5 (หรือบางคนอาจจะบอกว่าROI = 50%) แปลว่าทุกๆ 1 บาทที่เราใส่เข้าไป เราจะได้ผลตอบแทนกลับมา 1.5 บาท หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือกำไร 50% ถ้าสมมุติว่าถ้าROI = 2 (หรือROI = 200%) ก็เท่ากับว่าทุกๆ 1 บาทที่เราใส่ไปเราจะได้กำไร 2 บาท (กำไร 2 บาทเท่ากับได้เงินมา 3 บาท ลบ 1 บาทในการลงทุน) พอเข้าใจกันบ้างไหมคะทุกคน วันนี้เรามาดูความสำคัญของเจ้าROI กันดีกว่าค่ะ

    SGEPRINT


    — ทำไม ROI จึงมีความสำคัญ —

    การคำนวณROI จะทำให้ทราบจำนวนรายได้ที่คุณได้รับจากการโฆษณา นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เพื่อช่วยตัดสินวิธีใช้งบประมาณได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากคุณพบว่าแคมเปญหนึ่งสร้างROI สูงกว่าแคมเปญอื่นๆ คุณเพิ่มงบประมาณให้กับแคมเปญที่ประสบความสำเร็จนั้นได้ และลดงบประมาณในแคมเปญที่ทำงานได้ไม่ดีนักคุณยังใช้ข้อมูลROI เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญที่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าได้อีกด้วย

    นอกจากนี้มันยังมีบทบาทสำคัญต่อการทำการตลาดมากโดยเฉพาะในปัจจุบันที่นิยมทำโฆษณาบนออนไลน์ เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads เพราะทำให้ทราบรายได้ที่ได้รับจากการลงโฆษณา รวมถึงทำให้ทราบว่าการสร้างแคมเปญ การออกบูธ ประสบผลสำเร็จหรือไม่ และยังทำให้เปรียบเทียบได้ว่าการทำแคมเปญแบบไหนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนกับแคมเปญแบบไหนมากกว่า และยกเลิกแคมเปญที่ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้วางแผนการตลาดได้ดีขึ้น และมียอดขายเติบโตมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้ประกอบการที่ต้องทราบนะคะ 


    — ตัวอย่างการคำนวณ
    ROI ด้านล่างสามารถสรุปได้ง่ายๆดังนี้ — 

    SGEPRINT


    ตัวอย่าง 
    บริษัท Spring Green Evolution Co., Ltd. ได้ลงทุนในการสัมนาการให้ความรู้เกี่ยวกับ Inbound Marketing ในราคา 10,000 บาท หลังจากการสัมมนานั้น ทำให้มีลูกค้าหลายรายสนใจในบริการของ Inbound Marketing และทำให้เดือนนั้นมีลูกค้าใช้บริการ Inbound Marketing กว่า 250,000 บาท 

    จะเห็นว่า จากข้อมูลทั้งหมด จะทำให้คำนวนค่าROI ออกมาได้สูงถึง 2400% กันเลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า การลงทุนนี้ ทำให้ได้ผลกำไรที่ดีมาก หรือเรียกว่าในระดับดีเยี่ยม เพราะเลขROI สูงมาก ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การลงทุนใดๆที่มีค่า ROI สูง กว่า 0 หรือ 100% หรือกำไรเป็นบวก ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าแล้ว 👉 ถ้าหากว่าการลงทุนใด ที่มีค่า ROI ต่ำกว่า 0% หรือกำไรติดลบ ถือว่าการลงทุนนั้นไม่ควรลงทุนอีกต่อไป ให้ผลกำไรไม่คุ้มค่า ควรปรับปรุง หรือเปลี่ยนเป็นลงทุนในแบบอื่นแทนจะดีกว่าค่ะ


    — การใช้ ROI เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการลงทุน —

    นอกจากนั้นแล้วเรายังสามารถใช้ROI เพื่อจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนได้อีกด้วย เพราะไม่ใช่ทุกธุรกิจที่จะมีเงินลงทุนและทรัพยากรไม่จำกัด ในความเป็นจริงธุรกิจอาจจะมีเงินลงทุนแค่ 1 หรือ 2 ก้อนเท่านั้น ตามหลักของการลงทุน ถ้าเรามีเงินและมีทรัพยาการณ์ไม่จำกัดเราก็ควรทำทุกโปรเจคที่ได้กำไร ไม่ว่า ROIจะน้อยแค่ไหน แต่ในโลกความเป็นจริงมันคงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นเจ้าของธุรกิจก็ต้องวิเคราะห์ROI ของโปรเจคที่น่าลงทุนทั้งหมดและเลือกแค่ไม่กี่โปรเจคที่จะทำ

    จากข้อจำกัดเรื่องเงินลงทุน เวลา หรือจำนวนพนักงานเป็นต้น และเพื่อที่จะทำให้เราดูROI ได้ชัดเจนกว่าเดิม บางคนอาจจะนำROI มารวมกับการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วยก็ได้ยกตัวอย่างเช่น การลงทุน A มีโอกาส 40% ที่จะได้ ROIมากกว่า 2 (ได้กำไร) มีโอกาส 30% ที่จะได้ ROIเท่ากับ 0 (เท่าทุน) และก็มีโอกาสอีก 30% จะได้ ROIต่ำกว่า 0 (ติดลบหรือขาดทุน) เป็นต้นค่ะ

    SGEPRINT


    — ข้อเสียของ
    การใช้ ROI มีอะไรบ้าง —

    จากการศึกษา พบว่ามันคือตัววัดกำไรจากการลงทุนในระยะเวลาระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เท่ากับว่าการวิเคราะห์ผลลงทุนด้วยROI จะไม่สามารถใช้ดูภาพรวมของการลงทุนได้ทั้งหมด แต่มันหมายความว่ายังไงกันนะ? ไปดูกันค่ะ 👉 ปัญหาแรกที่ธุรกิจอาจจะเจอก็คือ บางครั้งROI ในระยะยาวอาจจะสูง แต่ในระยะสั้นนั้น โปรเจคนี้ต้องใช้เงินลงทุนเยอะทำให้อาจจะมีปัญหาเรื่องการระดมทุนหรือเรื่องการหมุนเงินในระยะสั้น และแน่นอนว่า ROIเป็นแค่หนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ผลการลงทุนเท่านั้น เท่ากับว่าโอกาสที่จะวิเคราะห์ผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของคนวิเคราะห์ หรือปัจจัยที่เกี่ยวกับตอนปฏิบัติทำโปรเจคเช่นปัจจัยภาครัฐหรือปัจจัยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นต้น


    เป็นอย่างไรบ้างคะทุกคน จะเห็นได้ว่า Return On Investment มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการทำธุรกิจมาก ถ้าทำธุรกิจโดยไม่สนใจว่าผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นเป็นอย่างไร คุ้มค่าหรือไม่ การทำธุรกิจให้เติบโตก็อาจเป็นไปได้ยาก เพราะมองไม่เห็นทิศทางว่าทำการตลาดแบบไหนจะสำเร็จมากกว่านั่นเอง ข้อแนะนำสำหรับการใช้เครื่องมือนี้ก็คือเราควรที่จะใช้เครื่องมือวิเคราะห์ผลตอบแทนอื่นๆในการประกอบการตัดสินใจด้วยยกตัวอย่างเช่น NPV (Net Present Value) หรือ IRR (Internal Rate of Return) เป็นต้นนะคะ สามารถติดตามบทความอื่นๆของเราได้ที่นี่


    ที่มา : Sgeprint 

    Comments

    Popular posts from this blog

    สีพาสเทล คืออะไร โค้ดสีพาสเทลยอดนิยม!

    ขนาดกระดาษ A4 และขนาดอื่นๆที่ควรรู้!

    แปลง YouTube เป็น MP3 ง่ายนิดเดียว!